18 August 2008
14 August 2008
contemporary architecture and its material
The Philip Johnson Glass House, CT
Crown Hall, Illinois Institute of Technology
Trutec Building in Seoul, Korea
The Spertus Institute of Jewish Studies in Chicago
Andrew Ballantyne, the author of A Very Short Introduction to Architecture remarks that the architecture of today's museums are highly politicised and that the temporality and indeed exterior material display of architecture does not necessarily have to match that of the content inside. Most of American art museums are housed in Neoclassical architecture (in order to borrow the highness of classical architecture to make a certain legitmacy claim, of course) although they of course do not show simply Greco-Roman artefacts. Similarly, the fancy outrageous architecture of the Guggenhiem Museum in Bilbao, Spain by far surpasses the modest calibre of the artworks, the raison d'etre of the museum inside. Here too, the Spertus Institute as an educational institute for Jewish studies enjoys the "modern" facade that more commonly comes to be associated with furniture showrooms, design studios, high-end boutiques, financial headquarters or technologically innovative sciences like architectural design, engineering, and the like. Of course, I'm not saying contemporary architecture strictly belongs to the glossy showroom types (seeing as I agree on the occasional lack of connection between architecture and its content), but what makes the Spertus all the more noteworthy is that the building at the corner, the famous cutting-edged Columbia College and its affiliate Museum of Contemporary Photography which is housed in a relatively normal-looking building. This is fun to think about.
Like sculptors, some architects are good at manipulating tradtional materials they have at hand. They can follow the intrinsic physical quality of such material. Or they can revert the convention and make something that surpasses the commonly perceived quality. This reminds me of a lecture on neolithic jade art in my Chinese art class I took last fall. Prof. Bickford showed us two contrasting examples, the first of which was the jade cabbage where the artist worked on the given combination of white and green texture and accordingly made a cabbage of out it. The second contrasting example (which I unfortunately cannot find a picture of) was a painstakingly woven bracelet made of sculpted jade. The artist basically gave a flowing, malleable look to his work, so the work looks more like green threads woven together with the same sensiblity as a cloth bracelet. Clearly, these architects and jade craftsmen are so highly sharp-eyed that they somehow saw plasticity in rock-hard materials us normal people don't. Artistic flair is timeless man :)
08 August 2008
ปารีสที่เห็นจริงต่างจากที่ฝันไว้เยอะ
การเดินทางเที่ยวฝรั่งเศสครั้งนั้นเริ่มต้นที่การนั่งรถบัสฝ่าหิมะจากเมือง
เมื่อลงเครื่องที่ Amsterdam ก็ประหลาดใจมากที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของที่นั่น (จะว่าไปแล้วก็เกือบทุกที่ทั่วโลก) เข้มงวดน้อยกว่าอเมริกาเยอะ เจ้าหน้าที่สาวหน้าตาใจดีพูดทักทายอย่างแจ่มใสด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจน คล่องแคล่ว พร้อมสำเนียงน่ารักๆของท้องถิ่น เธอถามคำถามทั่วไปไม่กี่คำถามแล้วก็ปล่อยให้เราผ่านไปประตูรอต่อเครื่องพร้อมกับพูดว่าขอให้เที่ยวให้สนุกในปารีส คิดๆไปแล้วด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นี่เทียบได้กับด่านถามคำถามครั้งแรกก่อน check-in ที่ airport ในอเมริกาเท่านั้นเอง ท้องฟ้าที่ Amsterdam ของตอนเช้าวันนั้นอาจจะขมุกขมัวไปบ้างแต่พอพระอาทิตย์ขึ้นตอน 7 โมงเช้าทุกอย่างก็สว่างขึ้นเยอะ เราเลยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆก่อนขึ้นเครื่องเดินเที่ยวตามร้าน duty free ต่างๆ ดูการออกแบบภายในของสนามบินที่นี่ก็คล้ายๆกับ Charles de Gaulle ที่ฝรั่งเศส แล้วก็ยังมีส่วนคล้ายคลึงกับสนามบินสุวรรณภูมิของเราอีกด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นานพนักงานสายการบิน Air France เที่ยวบิน Amsterdam – Paris ก็ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องเพื่อออกเดินทาง การเดินทางเครื่องบินของเราก็จะสิ้นสุดแล้ว แต่การเดินทางจริงๆก็กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึง 2 ชั่วโมง ตื่นเต้นครับ
สนามบิน Charles de Gaulle ใหญ่มากแต่ทุกอย่างก็เป็นระเบียบ ระหว่างที่เดินลงมาที่ luggage claim ก็เริ่มเห็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมการเมืองของฝรั่งเศสเป็นระยะๆ เริ่มจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่เรียกร้องให้ทุกคนสนใจการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ Darfour ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงบรรยากาศสนามบินในอเมริกาหรือในเมืองไทยที่แทบจะไม่มีการรณรงค์ทางการเมืองให้เห็นเลย ส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณาเชิงพาณิชย์ซะมากกว่า
สองสามวันแรกในปารีสก็จะมึนๆเล็กน้อยเนื่องจาก jetlag และก็ยังฟังไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จำได้ว่าวันอาทิตย์แรกที่ไปถึงก็ตะลุยเข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เพราะวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนจะเปิดให้เข้าฟรี นับว่าเป็นนโยบายที่ดีเพื่อส่งเสริมคนให้สนใจศิลปะ จำได้ว่าได้ไปดูพิพิธภัณฑ์ Guimet ซึ่งเป็นที่เก็บศิลปะเอเชียทั้งจิตกรรมและประติมากรรมจากที่ต่างๆในเอเชีย ได้ไปพิพิธภัณฑ์ Rodin ประติมากรเลื่องชื่อของโลกเจ้าของผลงานชิ้นเด่นอย่าง
นอกจากนี้พวกเราก็ได้ไปพิพิธภัณฑ์และสถานที่แสดงศิลปะที่ทุกคนรู้จักกันดีจาก Musée du Louvre และ Musée d’Orsay ที่จัดแสดงภาพวาดชิ้นสำคัญๆของจิตกรยุโรปจากหลายสมัยหลายประเทศแต่ที่ที่ประทับใจที่สุดคงจะเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่ชื่อว่า Musée Jacquemart-André ตั้งอยู่ที่ถนน Haussman ด้วยบรรยากาศสถานที่ที่เป็นคฤหาสน์ (hôtel particulier) แบบศตวรรษที่ 19ที่ภายในยังคงความงดงามแบบสมัยเดิม การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในวันนั้นเลยได้ทั้งชมภาพวาดที่สวยงามและบรรยากาศของที่จัดแสดงที่แปลกไปจากเดิม
สถานที่ชื่อดังของย่านนี้อีกที่ก็คือโบสถ์ Sacré-Cœur ซึ่งสร้างภายโดยชาวคาธอลิกหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ด้วยความที่
Monmartre ไม่ใช่ย่านการค้าที่โด่งดังแต่เป็นย่านที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่แบบคนฝรั่งเศสได้อย่างดีคือแต่ละร้านค้าจะขายสินค้าแต่ละประเภทให้แก่คนที่อยู่อาศัยเช่น ร้านขายขนมผัง ร้านเบเกอรี่ ร้านขายปลา ร้านขายชีส ร้านขายเครื่องเทศในย่าน ดังนั้นความคิดเป็น supermarket เป็นอิทธิพลจากภายนอกที่กำลังแพร่เข้ามา และแน่นอนก็ได้รับการต่อต้านอยู่ไม่น้อย
ปารีสที่เห็นจริงต่างจากที่ฝันไว้เยอะไม่น่าเชื่อว่าถึงแม้จะเป็นเมือง metropolitan แต่ก็ห่างจากความเป็น cosmopolitan อยู่เยอะ ปารีสวันนี้ก็ยังไม่เหมือนกับลอนดอน ฮ่องกง หรือนิวยอร์ก เพราะหลายๆอย่างยังคงความเป็นธรรมเนียมเดิมอยู่มาก คนยังซื้อขนมปัง baguette ที่ร้านที่คุ้นเคย ซื้อชีวจากร้านที่เคยซื้อ ทุกอย่างก็วนเวียนอยู่ในย่านที่ตัวเองอยู่
คืนหนึ่งที่จะไม่มีวันลืมในย่าน